ทิวากร วิถีตน ชายวัย 47 ปี ที่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลจิตเวชหลังจากสวมเสื้อยืดที่มีข้อความเกี่ยวกับความศรัทธาต่อสถาบันกษัตริย์บอกว่าเขา "ตกผลึกทางความคิด" ระหว่างอยู่ในโรงพยาบาลและตัดสินใจว่าจะหยุดการเคลื่อนไหวเพราะกลัวว่าจะเป็นเหตุให้คนไทยฆ่ากันเอง
ทิวากรถูกนำตัวไปประเมินอาการทางจิตเวชที่ รพ.จิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ระหว่างวันที่ 9-22 ก.ค. หลังจากได้รับการปล่อยตัวออกจาก รพ. เขากลับมาโพสต์เฟซบุ๊กเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ก.ค. โดยขอบคุณผู้ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขา และเปิดเผยว่าตัดสินใจที่จะหยุดเคลื่อนไหว เพราะไม่ต้องการให้การกระทำของเขากลายเป็นชนวนไปสู่การใช้ความรุนแรงและการนองเลือดเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519
บีบีซีไทยติดต่อขอสัมภาษณ์ทิวากร ได้รับคำตอบว่า "ยังไม่สะดวก" แต่อนุญาตให้ใช้ข้อมูลที่เขาโพสต์ในเฟซบุ๊กและที่ให้สัมภาษณ์จอม เพชรประดับในรายการ Thai Voice เผยแพร่ทางยูทิวบ์เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ซึ่งเขาได้เปิดเผยข้อมูลการรักษา ผลการวินิจฉัยของจิตแพทย์และความคิดล่าสุดของเขาไว้ดังนี้
เกิดอะไรขึ้นในวันที่ถูก "อุ้ม" ไป รพ.
ทิวากรบอกว่าวันที่ 9 ก.ค. มีเจ้าหน้าที่ซึ่งน่าจะมีทั้งจิตแพทย์ พยายบาลและตำรวจมาหาเขาที่บ้านและ "เชิญตัวไป" แต่เขาไม่ยินยอมเพราะเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ป่วยจึงนั่งอยู่กับที่ ขณะที่พ่อและแม่พยายามเกลี้ยกล่อมให้ไปรักษา
"ผมไม่ได้เต็มใจไป ผมยืนยันว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะอุ้มผมไป พอผมนั่ง ไม่ยอมไป เขา (เจ้าหน้าที่) ก็เลยมาอุ้มผม" ทิวากรตอบคำถามของจอม ผู้ดำเนินการรายว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่เขาถูกควบคุมตัวไปจากบ้าน
เมื่อขึ้นไปบนรถมีเจ้าหน้าที่ 2 คนจับแขนเขาฉีดยาคนละข้าง เขาไม่ทราบว่ายาอะไรแต่ฤทธิ์ของยาฉีดทำให้ "ชาไปทั้งตัวและกระหายน้ำมาก" จากนั้นเขาถูกมัดมือมัดเท้า เมื่อถึง รพ.จิตเวชขอนแก่นฯ เจ้าหน้าที่จึงให้กินน้ำและนำเขาไปไว้ในห้องขนาดใหญ่ที่มีลูกกรง
ทิวากรรู้หลังจากนั้นว่า หลังจากถูกนำตัวมา รพ.แล้ว มีเจ้าหน้าที่อีกชุดหนึ่งมาค้นห้องของเขาที่บ้าน และได้ยึดโทรศัพท์ ไอแพด คอมพิวเตอร์ เสื้อยืดที่มีข้อความเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์และเสื้อแดงอีกหลายตัวไป ซึ่งเขาได้ของทั้งหมดคืนในวันที่ออกจาก รพ. ยกเว้นเสื้อยืดที่มีข้อความเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์และเสื้อแดง
"หมอบอกว่าผมไม่ได้เป็นคนบ้า"
ทิวากรเล่าว่าตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์ที่อยู่ใน รพ. เข้าได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์เป็นอย่างดี แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้สื่อสารกับโลกภายนอก และไม่ได้รับข่าวสารใด ๆ ทั้งสิ้น และสังเกตเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าอยู่หน้าหอผู้ป่วยที่เขาพักและติดตามเขาเป็นระยะใน รพ. ซึ่งเมื่อสอบถามก็ได้รับแจ้งว่าเป็นตำรวจจาก สภ.เมืองขอนแก่นที่ "ได้รับมอบหมายให้มาดูแลความปลอดภัยทั่ว ๆ ไป"
ช่วงหนึ่งสัปดาห์แรกใน รพ. แพทย์ได้ทำการประเมินและวินิจฉัยอาการของเขาหลายแบบ ช่วงแรกเป็นการทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา เช่น ทดสอบความจำ ทดสอบไอคิว และทดสอบบุคลิกภาพ หลังจากนั้นก็มีจิตแพทย์ 3 คนผลัดเปลี่ยนมาพูดคุยและซักถามเขา ซึ่งมีทั้งคำถามเกี่ยวกับความคิดความเชื่อของเขาต่อประเด็นเรื่องความยุติธรรมและสถาบันกษัตริย์ด้วย ทิวากรบอกว่าเขาตอบทุกอย่างตามความเป็นจริง และขั้นตอนสุดท้ายคือการประเมินโดยคณะแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องซึ่งมีทั้งหมด 9 คน
"การประชุมใช้เวลานานเป็นชั่วโมง สุดท้ายอาจารย์แพทย์ถามว่าผมมีอะไรอยากจะบอกกับคณะแพทย์ในห้องประชุมมั้ย ผมก็ขอคุณหมอและเจ้าหน้าที่ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่าละทิ้งความเป็นมนุษย์ ให้รักษาความเป็นมนุษย์ของตัวเองไว้ อย่าให้การปลุกระดมในลักษณะเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 มันเกิดขึ้นได้ อย่าให้อำนาจรัฐมาทำให้ทุกท่านสูญเสียความเป็นมนุษย์...ถ้ามีอำนาจรัฐสั่งมาว่าคุณต้องทำลายความเป็นมนุษย์หรือกักขังหน่วงเหนี่ยวประชาชน ขออย่าทำตามคำสั่งนั้น"
วันรุ่งขึ้น จิตแพทย์เจ้าของไข้มาแจ้งผลการวินิจฉัยว่าเขาปกติดี
"จิตแพทย์เจ้าของไข้มาบอกว่าผมไม่ได้ป่วยอะไรเลยนะ จากเดิมที่สงสัยว่าผมจะเป็นไบโพลาร์และไฮเปอร์...อะไรสักอย่าง จิตแพทย์บอกว่าผมไม่ได้เป็นโรคจิต ไม่ได้เป็นโรคจิตเวชใด ๆ ผมไม่ได้เป็นคนบ้า หมอย้ำกับผมแบบนั้น" ทิวากรกล่าว
เขาอ้างว่าแม้แพทย์เจ้าของไข้จะยืนว่าเขาไม่ได้ป่วยทางจิตเวชและไม่ต้องกินยาใด ๆ แต่เขากลับถูกสั่งให้กินบางอย่างซึ่งทำให้มีอาการสะลึมสะลือ สมองไม่ปลอดโปร่ง ซึ่งเขาเชื่อว่าแพทย์เจ้าของไข้ได้รับคำสั่งจากผู้ที่มีอำนาจสูงกว่า
ตกผลึกทางความคิด
ทิวากรบอกว่าคืนที่สองใน รพ. เขาคิดอะไรได้หลายอย่างหรือเรียกว่า "ตกผลึกทางความคิด" ในประเด็นสำคัญ 2 เรื่องคือ เรื่องการตัดความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและเรื่องที่เขาแสดงความรู้สึกหมดศรัทธาต่อสถาบันกษัตริย์
เมื่อวันที่ 5 ก.ค. ทิวากรได้เผยแพร่เอกสารที่ระบุว่าเป็น "หนังสือยืนยันการตัดนายทิวากร วิถีตน ออกจากตระกูลโสภา และตัดความเป็นแม่เป็นลูกกับนางทองเหรียญ โสภา" ซึ่งเขาได้คิดขณะอยู่ใน รพ. ว่านี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง
"เรื่องการตัดแม่ตัดลูกมันตัดไม่ได้หรอก ไม่มีทางหนีไปได้เลยเพราะยังไงผมเป็นลูกของพ่อแม่ เป็นน้องของพี่สาว เป็นน้าชายของหลานอยู่ดี...ผมคิดว่าผมจะคืนความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวเหมือนเดิม"
อีกเรื่องสำคัญที่เขาตกผลึกก็คือเรื่องการเคลื่อนไหวทางการเมืองในโซเชียบลมีเดีย รวมทั้งการสวมเสื้อที่มีข้อความเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์
ทิวากรบอกว่าเขายังยืนยันความคิดเดิมตามข้อความบนเสื้อยืดที่เคยใส่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งที่ผ่านมาเขายึดแนวทางการแสดงออกอย่างสันติ และไม่คิดจะละเมิดสิทธิของคนที่คิดต่างจากเขา
แต่ขณะนี้เขาคิดว่าการประกาศความรู้สึกออกไปเช่นนั้นเป็นการทำร้ายจิตใจและสร้างความกดดันให้คนที่ศรัทธาในสถาบันกษัตริย์รวมทั้งกระทบกระเทือนสถาบันกษัตริย์จนอาจเป็นชนวนให้เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ขึ้นได้
ใครก็ตามที่อยู่ในสภาวะกดดันอย่างอย่างที่สุดก็อาจทำอะไรบางอย่างโดยไม่รู้ตัวก็ได้ ทิวากรกล่าว
"ถ้าสิ่งที่ผมทำมันนำไปสู่การฆ่ากันเองของคนไทย ผมคงปวดใจมาก ผมคงทนไม่ได้...ถ้ามีคนไทยฆ่ากันเองจากกรณีของผมแม้แต่คนเดียว ผมก็จะทนไม่ได้ และอยู่ในประเทศไทยไม่ได้เพราะประเด็นของผมเป็นการจุดประเด็นให้คนฆ่ากัน"
เขายืนยันว่าการตลกผลึกทางความคิดของเขาเกิดขึ้นด้วยตัวเอง ไม่มีการกดดันหรือโน้มน้าวของเจ้าหน้าที่
ทิวากรบอกว่าเขาติตตามการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของนักเรียนนักศึกษาด้วยความตื้นตันใจและด้วยความเป็นห่วงว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้น
"ภารกิจของผมน่าจะจบแล้ว ผมคนเดียว ผมทำมาได้เท่านี้ ถึงตรงนี้ล่ะ ผมทำต่อไปมากกว่านี้ไม่ได้ ผมจะใส่เสื้อยืดไปเดินไม่ได้อีกแล้ว เพราะมันไปเสียดแทงจิตใจของฝ่ายสถาบันฯ มากเกินไป และนักศึกษาก็ไปไกลกว่าผมเยอะ เขาจะคิดได้เองว่าเขาจะเดินหน้าต่อไปยังไง เรื่องไม่อยากให้นองเลือดก็เป็นเพียงข้อเสนอแนะเท่านั้น แต่เขาจะตัดสินใจยังไงก็สุดแล้วแต่"
หลังจากนี้ทิวากรตั้งใจว่า "ทำให้ตัวเองดี" โดยไม่คาดหวังหรือโทษคนอื่น เพราะชีวิต ครอบครัว สังคม ประเทศและโลกจะดีได้ต้องเริ่มที่ตัวเอง
"หลังจาก" - Google News
July 26, 2020 at 07:00PM
https://ift.tt/3jAGpVf
ทิวากร วิถีตน ประกาศหยุดเคลื่อนไหวเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ หวั่นเป็นชนวนเหตุนองเลือด - บีบีซีไทย
"หลังจาก" - Google News
https://ift.tt/3esKVCL
No comments:
Post a Comment